กลับไปที่สารบัญ

เครื่องมือผู้ดูแลระบบ


การกำหนดรหัสผ่านผู้ดูแลระบบ
การตั้งค่าเครื่องมือผู้ดูแลระบบ
แพ็คเกจผู้ดูแลระบบสำหรับ Windows XP*
ส่วนกำหนดค่าผู้ดูแลระบบ

การตั้งค่าโปรแกรมประยุกต์
การตั้งค่าอแด็ปเตอร์ (ผู้ดูแลระบบ)
กลุ่ม EAP-FAST A-ID
งานของผู้ดูแลระบบ

หมายเหตุ: ในวิธีใช้นี้ คำว่า "ไร้สาย" และ "WiFi" สามารถใช้แทนกันได้


เครื่องมือผู้ดูแลระบบจะถูกใช้งานโดยบุคคลที่มีสิทธิในระดับของผู้ดูแลระบบบนคอมพิวเตอร์เครื่องนี้ เครื่องมือนี้ใช้สำหรับตั้งส่วนกำหนดค่าล็อกออนล่วงหน้า/ทั่วไป และส่วนกำหนดค่าการเชื่อมต่อแบบต่อเนื่อง เครื่องมือผู้ดูแลระบบยังสามารถใช้งานโดยแผนกเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อกำหนดค่าผู้ใช้และสร้าง แพ็คเกจ ติดตั้งแบบกำหนดเอง เพื่อส่งออกไปยังระบบอื่นๆ

เครื่องมือผู้ดูแลระบบอยู่บนเมนูเครื่องมือ ซึ่งจะต้องเลือกเครื่องมือผู้ดูแลระบบในระหว่างการติดตั้งยูทิลิตีการเชื่อมต่อ Intel(R) PROSet/Wireless WiFi แบบกำหนดเอง มิฉะนั้นคุณลักษณะนี้จะไม่แสดง


แพ็คเกจผู้ดูแลระบบสำหรับ Windows XP*

แพ็คเกจผู้ดูแลระบบเป็นแฟ้มที่แยกได้เอง ซึ่งโดยทั่วไปแล้วประกอบด้วยยูทิลิตีการเชื่อมต่อ WiFi, ส่วนกำหนดค่าผู้ดูแลระบบ และการตั้งค่าอื่นๆ คุณสามารถคัดลอกหรือส่งแพ็คเกจสำหรับผู้ดูแลระบบไปยังเครื่องไคลเอ็นต์บนเครือข่ายของคุณ เมื่อแฟ้มดังกล่าวถูกเรียกใช้ เนื้อหาจะถูกติดตั้งและกำหนดค่าบนคอมพิวเตอร์ปลายทาง หากส่วนกำหนดค่าเป็นส่วนหนึ่งของแพ็คเกจ ส่วนกำหนดค่าดังกล่าวก็จะควบคุมวิธีการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ปลายทางเข้ากับเครือข่าย WiFi ที่ระบุ

หมายเหตุ: ในการสร้างและส่งออกแพ็คเกจสำหรับคอมพิวเตอร์ที่รันบน Microsoft Windows Vista* นั้นคุณจะต้องสร้างบนคอมพิวเตอร์ที่รัน Windows Vista ดังนั้นคุณจะไม่สามารถสร้างแพ็คเกจสำหรับ Windows Vista บนคอมพิวเตอร์ที่รัน Microsoft Windows XP*

สร้างแพ็คเกจใหม่

  1. ป้อนรหัสผ่านเครื่องมือผู้ดูแลระบบ
  2. เปิดแพ็คเกจผู้ดูแลระบบ: คลิก สร้างแพ็คเกจ Windows XP หรือ เปิดแพ็คเกจที่มีอยู่
ตัวเลือกแพ็คเกจ
ชื่อ คำอธิบาย
สร้างแพ็คเกจ Windows XP

สร้างแพ็คเกจที่สามารถส่งออกไปยังคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้ที่ติดตั้งระบบปฏิบัติการ Microsoft Windows XP* แพ็คเกจนี้อนุญาตให้ส่งออกส่วนกำหนดค่าแบบล็อกออนล่วงหน้า/ทั่วไปและส่วนกำหนดค่าแบบต่อเนื่องที่ใช้การตรวจสอบความถูกต้อง 802.1X ชนิด EAP ทั้งหมด

สร้างแพ็คเกจ Windows Vista

ไม่พร้อมใช้งาน ในการสร้างและส่งออกแพ็คเกจสำหรับคอมพิวเตอร์ที่รันบน Microsoft Windows Vista* นั้นคุณจะต้องสร้างบนคอมพิวเตอร์ที่รัน Windows Vista ดังนั้นคุณจะไม่สามารถสร้างแพ็คเกจสำหรับ Windows Vista บนคอมพิวเตอร์ที่รัน Microsoft Windows XP*

เปิดแพ็คเกจที่มีอยู่

เลือกเพื่อเรียกดูและเปิดแพ็คเกจที่มีอยู่

  1. คลิก ตกลง
  2. กำหนดค่าตัวเลือกต่อไปนี้ที่จะรวมไว้ในแพ็คเกจ:
ชื่อ คำอธิบาย
ส่วนกำหนดค่า

คลิก รวมส่วนกำหนดค่าในแพ็คเกจนี้ คุณสามารถใช้ส่วนกำหนดค่าร่วมกับผู้ใช้คนอื่นๆ

การตั้งค่าโปรแกรมประยุกต์

คลิก รวมการตั้งค่าโปรแกรมประยุกต์ในแพ็คเกจนี้ ระบุการตั้งค่าโปรแกรมประยุกต์ที่จะเปิดใช้งาน

การตั้งค่าอแด็ปเตอร์

คลิก รวมการตั้งค่าอแด็ปเตอร์ในแพ็คเกจนี้ ระบุค่าเบื้องต้นสำหรับการตั้งค่าอแด็ปเตอร์ที่ใช้บนคอมพิวเตอร์เครื่องนี้

กลุ่ม EAP-FAST A-ID

คลิก รวมถึงกลุ่ม A-ID เพิ่มกลุ่ม A-ID เพื่อรองรับ PAC หลายชุดจาก A-ID หลายรายการ

  1. คลิก ปิด
  2. คุณจะได้รับการแจ้งเตือน: แพ็คเกจปัจจุบันถูกเปลี่ยนแปลงไป คุณต้องการบันทึกการเปลี่ยนแปลงนี้หรือไม่?
  3. คลิก ใช่ บันทึกแฟ้มปฏิบัติการไปยังไดเร็กทอรีบนไดรฟ์ภายในเครื่อง
  4. คลิก บันทึก แฟ้มจะถูกสร้างขึ้น อาจใช้เวลาหลายนาที
  5. คลิก เสร็จสิ้นแล้ว เพื่อดูเนื้อหาของแพ็คเกจ
  6. คลิก ตกลง

หมายเหตุ: คุณสามารถเลือก บันทึกแพ็คเกจ บนเมนู แฟ้ม เพื่อบันทึกแพ็คเกจได้ด้วย

แก้ไขแพ็คเกจ

  1. เข้าไปที่เครื่องมือผู้ดูแลระบบ
  2. ที่หน้า เปิดแพ็คเกจผู้ดูแลระบบ ให้คลิก เปิดแพ็คเกจที่มีอยู่ เพื่อแก้ไขแพ็คเกจที่มีอยู่
  3. คลิก เรียกดู หาตำแหน่งแฟ้มปฏิบัติการของแพ็คเกจ
  4. คลิก เปิด อัพเดตการตั้งค่าแพ็คเกจ
  5. คลิก ปิด
  6. คุณจะได้รับการแจ้งเตือน: แพ็คเกจปัจจุบันถูกเปลี่ยนแปลงไป คุณต้องการบันทึกการเปลี่ยนแปลงนี้หรือไม่?
  7. คลิก ใช่ บันทึกแฟ้มปฏิบัติการไปยังไดเร็กทอรีบนไดรฟ์ภายในเครื่อง

หมายเหตุ: คุณสามารถเลือก เปิดแพ็คเกจ บนเมนู แฟ้ม เพื่อแก้ไขแพ็คเกจผู้ดูแลระบบได้ด้วย


ส่วนกำหนดค่าผู้ดูแลระบบ

ส่วนกำหนดค่าผู้ดูแลระบบถูกจัดการโดยผู้ดูแลระบบเครือข่าย ส่วนกำหนดค่าเหล่านี้สามารถส่งออกไปยังคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นๆ

ส่วนกำหนดค่าดังกล่าวเป็นส่วนกำหนดค่าทั่วไปหรือที่ใช้ร่วมกันโดยผู้ใช้ทั้งหมดบนคอมพิวเตอร์เครื่องนี้ อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้ไม่สามารถแก้ไขส่วนกำหนดค่าเหล่านี้ได้ ผู้ใช้สามารถแก้ไขได้เฉพาะจากเครื่องมือผู้ดูแลระบบ ซึ่งจะมีรหัสผ่านปัองกันอยู่

อย่างไรก็ตาม คุณสามารถสร้างส่วนกำหนดค่า Voice over IP (VoIP) เพื่อส่งออกไปยังโปรแกรมซอฟต์โฟน และคุณสามารถเพิ่มส่วนกำหนดทั่วไปและส่วนกำหนดค่า VoIP ที่มีอยู่ หรือส่วนกำหนดค่า VoIP ที่คุณสร้างให้กับแพ็คเกจ ส่วนกำหนดค่าผู้ดูแลระบบมีสองประเภทคือ: แบบต่อเนื่อง และ แบบล็อกออนล่วงหน้า/ทั่วไป

แพ็คเกจ Windows

ส่วนกำหนดค่าแบบต่อเนื่อง

ส่วนกำหนดค่าแบบต่อเนื่องจะทำงานตั้งแต่ช่วงเริ่มระบบหรือเมื่อไม่มีผู้ใช้ล็อกออนเข้าสู่คอมพิวเตอร์เครื่องนี้ หลังจากที่ผู้ใช้ล็อกออฟ ส่วนกำหนดค่าแบบต่อเนื่องจะรักษาการเชื่อมต่อไร้สายจนกว่าจะปิดเครื่องคอมพิวเตอร์หรือมีผู้ใช้คนอื่นล็อกออนเข้าสู่ระบบ

จุดสำคัญของส่วนกำหนดค่าแบบต่อเนื่อง:

หมายเหตุ: ยูทิลิตีการเชื่อมต่อ WiFi สนับสนุนใบรับรองอุปกรณ์ อย่างไรก็ตาม ใบรับรองดังกล่าวจะไม่แสดงในรายการใบรับรอง

การสร้างส่วนกำหนดค่าแบบต่อเนื่อง:

  1. คลิก รวมส่วนกำหนดค่าในแพ็คเกจนี้
  2. คลิก ต่อเนื่อง
  3. คลิก เพิ่ม เพื่อเปิดการตั้งค่าทั่วไป
  4. ชื่อส่วนกำหนดค่า: ป้อนชื่อส่วนกำหนดค่าที่บ่งบอกความหมายได้
  5. ชื่อเครือข่าย WiFi (SSID): ป้อนชื่อเครือข่าย WiFi
  6. โหมดการทำงาน: เครือข่าย (โครงสร้างพื้นฐาน) ถูกเลือกไว้ตามค่าเริ่มต้น
  7. ประเภทส่วนกำหนดค่าสำหรับผู้ดูแลระบบ: ต่อเนื่อง: ใช้งานได้เมื่อไม่มีผู้ใช้ล็อกออนอยู่ ถูกเลือกไว้
  8. คลิก ถัดไป
  9. คลิก ความปลอดภัยองค์กร เพื่อเปิด การตั้งค่าความปลอดภัย ดู TLS, TTLS, PEAP, LEAP หรือ EAP-FAST สำหรับข้อมูลการกำหนดค่าความปลอดภัย 802.1X
  10. คลิก ตกลง

ล็อกออนล่วงหน้า/ทั่วไป

ส่วนกำหนดค่าแบบล็อกออนล่วงหน้า/ทั่วไปจะทำงานในทันทีที่ผู้ใช้ล็อกออน หากการสนับสนุน Single Sign On ได้รับการติดตั้ง จะต้องทำการเชื่อมต่อก่อนการล็อกออนของ Windows (ล็อกออนล่วงหน้า/ทั่วไป)

หากไม่ได้ติดตั้งการสนับสนุน Single Sign On ส่วนกำหนดค่าจะถูกใช้เมื่อเซสชันผู้ใช้พร้อมทำงาน ส่วนกำหนดค่าแบบล็อกออนล่วงหน้า/ทั่วไปจะปรากฏที่ด้านบนสุดของรายการส่วนกำหนดค่าเสมอ ผู้ใช้ยังคงสามารถจัดลำดับความสำคัญของส่วนกำหนดค่าที่สร้างขึ้น แต่ไม่สามารถเปลี่ยนลำดับความสำคัญของส่วนกำหนดค่าแบบล็อกออนล่วงหน้า/ทั่วไป เนื่องจากส่วนกำหนดค่าเหล่านี้จะปรากฏที่ด้านบนของรายการส่วนกำหนดค่า ยูทิลิตีการเชื่อมต่อ WiFi จะพยายามเชื่อมต่อกับส่วนกำหนดค่าผู้ดูแลระบบโดยอัตโนมัติก่อนส่วนกำหนดค่าที่สร้างโดยผู้ใช้อื่นๆ

หมายเหตุ: เฉพาะผู้ดูแลระบบเท่านั้นที่สามารถสร้างหรือส่งออกส่วนกำหนดค่าแบบล็อกออนล่วงหน้า/ทั่วไปได้

จุดสำคัญของการเชื่อมต่อแบบล็อกออนล่วงหน้าคือ:

การเชื่อมต่อแบบล็อกออนล่วงหน้า/ทั่วไป

การสนับสนุนโปรไฟล์การล็อกออนล่วงหน้า/ทั่วไปจะถูกติดตั้งระหว่างการติดตั้งแบบ กำหนดเอง ของยูทิลิตีการเชื่อมต่อ WiFi ดูรายละเอียดเพิ่มเติมใน การติดตั้งหรือถอนการติดตั้งคุณลักษณะ Single Sign On

หมายเหตุ: ถ้าไม่ได้ติดตั้งคุณลักษณะ Single Sign On หรือการเชื่อมต่อแบบล็อกออนล่วงหน้า ผู้ดูแลระบบจะยังสามารถสร้างส่วนกำหนดค่าแบบล็อกออนล่วงหน้า/ทั่วไปเพื่อส่งออกไปยังคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้ได้

ข้อมูลต่อไปนี้จะอธิบายว่าคุณลักษณะการเชื่อมต่อแบบล็อกออนล่วงหน้าจะทำงานอย่างไรตั้งแต่เริ่มระบบ สมมติว่ามีส่วนกำหนดค่าที่บันทึกไว้อยู่ ส่วนกำหนดค่าที่บันทึกไว้นี้ได้กาเครื่องหมายการตั้งค่าความปลอดภัยที่ถูกต้อง "ใช้ชื่อผู้ใช้และรหัสผ่านที่ใช้สำหรับเข้าสู่ระบบ Windows" ซึ่งจะทำงานในขณะที่ล็อกออนเข้าสู่ระบบ Windows

  1. หลังจากระบบเริ่มทำงาน ให้ป้อนชื่อโดเมน, ชื่อผู้ใช้ และรหัสผ่านที่ใช้สำหรับการเข้าสู่ระบบ Windows
  2. คลิก ตกลง หน้าต่างสถานะส่วนกำหนดค่าแบบล็อกออนล่วงหน้า/ทั่วไปจะแสดงความคืบหน้าในการเชื่อมต่อเครือข่าย หลังจากที่อแด็ปเตอร์ WiFi ถูกเชื่อมโยงกับจุดเชื่อมต่อเครือข่าย หน้าต่างสถานะจะปิดลง และผู้ใช้ Windows จะล็อกออนเข้าสู่ระบบ
    • ถ้าจุดเชื่อมต่อที่เชื่อมโยงปฏิเสธข้อมูลรับรองในระหว่างการเชื่อมต่อแบบล็อกออนล่วงหน้า/ทั่วไป จะมีกล่องโต้ตอบปรากฏขึ้นให้คุณระบุข้อมูลรับรองผู้ใช้ของคุณ
    • ป้อนข้อมูลรับรองของคุณ
    • คลิก ตกลง ส่วนกำหนดค่าจะถูกใช้งานและหน้าสถานะจะแสดงความคืบหน้าของสถานะการเชื่อมต่อจนกระทั่งคุณล็อกออนเข้าสู่ Windows
    • คลิก ยกเลิก ที่หน้าข้อมูลรับรองเพื่อเลือกส่วนกำหนดค่าอื่น

หมายเหตุ: ใบรับรองผู้ใช้สามารถเข้าถึงได้โดยผู้ใช้ที่ผ่านการตรวจสอบความถูกต้องบนคอมพิวเตอร์เท่านั้น ดังนั้น ผู้ใช้ควรล็อกออนเข้าระบบคอมพิวเตอร์เพียงครั้งเดียว (โดยใช้การเชื่อมต่อแบบมีสาย ส่วนกำหนดค่าอื่นๆ หรือการเข้าสู่ระบบเฉพาะเครื่อง) ก่อนการใช้ส่วนกำหนดค่าแบบล็อกออนล่วงหน้า/ทั่วไปที่ตรวจสอบความถูกต้องด้วยใบรับรองผู้ใช้

ขณะที่คุณล็อกออฟ การเชื่อมต่อไร้สายทั้งหมดจะยกเลิกการเชื่อมต่อ และจะใช้ส่วนกำหนดค่าแบบต่อเนื่อง (ถ้ามีอยู่) ในบางสถานการณ์ อาจมีความเหมาะสมที่จะรักษาการเชื่อมต่อปัจจุบันไว้ (ตัวอย่างเช่น ถ้าจำเป็นต้องอัพโหลดข้อมูลเฉพาะผู้ใช้ไปยังเซิร์ฟเวอร์หลังจากล็อกออฟ หรือเมื่อมีการใช้ส่วนกำหนดค่าที่ข้ามเครือข่าย)

สร้างส่วนกำหนดค่าที่กาเครื่องหมายไว้ทั้งแบบล็อกออนล่วงหน้า/ทั่วไปและแบบต่อเนื่องเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของการใช้งานนี้ ถ้าส่วนกำหนดค่าดังกล่าวทำงานขณะที่ผู้ใช้ล็อกออฟ การเชื่อมต่อจะยังคงใช้งานได้

การสร้างส่วนกำหนดค่าแบบล็อกออนล่วงหน้า/ทั่วไป:

  1. คลิก รวมส่วนกำหนดค่าในแพ็คเกจนี้
  2. คลิก ล็อกออนล่วงหน้า/ทั่วไป
  3. คลิก เพิ่ม เพื่อเปิดการตั้งค่าทั่วไป
  4. ชื่อส่วนกำหนดค่า: ป้อนชื่อส่วนกำหนดค่าที่บ่งบอกความหมายได้
  5. ชื่อเครือข่าย WiFi (SSID): ป้อนตัวระบุเครือข่าย
  6. โหมดการทำงาน: เครือข่าย (โครงสร้างพื้นฐาน) ถูกเลือกไว้ตามค่าเริ่มต้น
  7. ประเภทส่วนกำหนดค่าสำหรับผู้ดูแลระบบ: ล็อกออนล่วงหน้า/ทั่วไป: ใช้งานได้เมื่อผู้ใช้ล็อกออนเข้าสู่ระบบ ส่วนกำหนดค่านี้จะใช้ร่วมกันโดยผู้ใช้ทั้งหมด ได้เลือกประเภทส่วนกำหนดค่านี้แล้ว
  8. คลิก ถัดไป
  9. คลิก ถัดไป เพื่อเปิดและกำหนดการตั้งค่าความปลอดภัย ดู การตั้งค่าขั้นสูง
  10. คลิก ตกลง เพื่อปิดการตั้งค่าขั้นสูง
  11. คลิก ความปลอดภัยองค์กร เพื่อเปิด การตั้งค่าความปลอดภัย ดู EAP-SIM, TLS, TTLS, PEAP, LEAP หรือ EAP-FAST สำหรับข้อมูลการกำหนดค่าความปลอดภัย 802.1X
  12. คลิก ตกลง เพื่อบันทึกส่วนกำหนดค่า และเพิ่มไปยังรายการส่วนกำหนดค่าผู้ดูแลระบบ

หมายเหตุ: ถ้ามีการเชื่อมต่อแบบต่อเนื่องไว้อยู่แล้ว ส่วนกำหนดค่าการล็อกออนล่วงหน้า/ทั่วไปจะไม่นำมาใช้ถ้าส่วนกำหนดค่านั้นไม่ได้ถูกตั้งตัวเลือกการเชื่อมต่อทั้งแบบล็อกออนล่วงหน้า/ทั่วไป และแบบต่อเนื่องเอาไว้


แยกเครือข่าย

ผู้ดูแลระบบสามารถกำหนดเครือข่าย WiFi ที่จะแยกออกจากการเชื่อมต่อ เมื่อเครือข่ายถูกแยก เฉพาะผู้ดูแลระบบเท่านั้นที่จะสามารถเอาเครือข่ายออกจากรายการแยก เครือข่ายที่ถูกแยกจะแสดงในการจัดการรายการที่แยก และถูกระบุโดยไอคอนนี้:

การแยกเครือข่าย WiFi:

  1. คลิก รวมส่วนกำหนดค่าในแพ็คเกจนี้
  2. คลิก แยก
  3. คลิก เพิ่ม เพื่อเปิด แยกเครือข่าย (SSID)
  4. ชื่อเครือข่าย: ป้อนชื่อเครือข่ายสำหรับเครือข่ายที่คุณต้องการแยก
  5. คลิก ตกลง เพื่อเพิ่มชื่อเครือข่ายลงในรายการ

แยกเครือข่าย

การเอาเครือข่าย WiFi ออกจากการแยก:

  1. เลือกชื่อเครือข่ายในรายการแยก
  2. คลิก เอาออก เครือข่ายถูกลบออกจากรายการ

การเชื่อมต่อ Voice over IP (VoIP)

ยูทิลิตีการเชื่อมต่อ WiFi สนับสนุนโปรแกรมซอฟต์โฟน VoIP ของผู้ผลิตรายอื่น โปรแกรมประยุกต์ VoIP ของผู้ผลิตรายอื่นสนับสนุนตัวแปลงสัญญาณเสียง โดยทั่วไปตัวแปลงสัญญาณมีความสามารถในการบันทึกแบนด์วิธเครือข่าย ยูทิลิตีการเชื่อมต่อ WiFi สนับสนุนมาตรฐานตัวแปลงสัญญาณของ International Telecommunications Union (ITU) ดังต่อไปนี้:

ตัวแปลงสัญญาณ

อัลกอริธึม

ITU G.711

PCM (Pulse Code Modulation)

ITU G.722

SBADPCM (Sub-Band Adaptive Differential Pulse Code Modulation)

ITU G.723

Multi-rate Coder

ITU G.726

ADPCM (Adaptive Differential Pulse Code Modulation)

ITU G.727

Variable-Rate ADPCM

ITU G.728

LD-CELP (Low-Delay Code Excited Linear Prediction)

ITU G.729

CS-ACELP (Conjugate Structure Algebraic-Code Excited Linear Prediction)

ผู้ดูแลระบบสามารถส่งออกการตั้งค่า VoIP เพื่อกำหนดอัตราข้อมูลสำหรับการเข้ารหัส/ถอดรหัสและอัตราเฟรม เพื่อปรับปรุงคุณภาพเสียงในการรับส่ง VoIP

การกำหนดค่า VoIP:

หมายเหตุ: ต้องแน่ใจว่า Voice over IP ไม่ได้ถูกปิดใช้งานในเครื่องมือผู้ดูแลระบบ การตั้งค่าโปรแกรมประยุกต์ ซึ่งตามค่าเริ่มต้นแล้วส่วนนี้จะเปิดใช้งานอยู่

  1. คลิก รวมส่วนกำหนดค่าในแพ็คเกจนี้
  2. คลิก VoIP
  3. คลิก เพิ่ม เพื่อเปิดหน้า สร้างส่วนกำหนดค่า VoIP
  4. เลือกแบนด์วิดธ์ตัวแปลงสัญญาณ, การใช้โปรแกรมประยุกต์ และอัตราเฟรม สำหรับข้อมูลเสียง:

G711 มีอัตราเฟรม 10ms ด้วยอัตราบิต 64kbps
G722 มีอัตราเฟรม 10ms ด้วยอัตราบิต 64kbps
G723 มีอัตราเฟรม 30ms ด้วยอัตราบิต 5.3kbps หรือ 6.4kbps
G726-32 มีอัตราเฟรม 10ms ด้วยอัตราบิต 32kbps
G728 มีอัตราเฟรม 2.5ms ด้วยอัตราบิต 16kbps
G729 มีอัตราเฟรม 10ms ด้วยอัตราบิต 10kbps

เลือกพารามิเตอร์จากเมนูแบบหล่นลง

ตัวแปลงสัญญาณ การใช้งาน อัตราเฟรม
  • G711_64kbps
  • G722_64kbps
  • G722_56kbps
  • G722_48kbps
  • G722_1_32kbps
  • G722_1_24kbps
  • G722_1_16kbps
  • G726_16kbps
  • G726_24kbps
  • G726_32kbps
  • G726_40kbps
  • G728_16kbps
  • G729a_8kbps
  • G729e_11_8kbps
  • GIPS_iPCM_VARIABLE
  • G722_2_VARIABLE
  • เสียงโต้ตอบ
  • ประชุมทางเสียง
  • ข้อมูลเสียง
  • วิดีโอ
  • การถ่ายทอดเสียง
  • 20
  • 30
  1. คลิก ตกลง เพื่อกลับเข้าสู่รายการส่วนกำหนดค่า
  2. คลิก ปิด เพื่อบันทึกส่วนกำหนดค่าไปยัง แพ็คเกจ

กลุ่ม EAP-FAST A-ID

หมายเหตุ: คุณลักษณะนี้ไม่สามารถใช้ได้ ถ้าไม่เลือก CCXv4 ไว้ในเครื่องมือผู้ดูแลระบบ การตั้งค่าโปรแกรมประยุกต์

ID ผู้มีสิทธิ์ (A-ID) คือ เซิร์ฟเวอร์ RADIUS ที่กำหนดกลุ่ม A-ID ของ Protected Access Credential (PAC) กลุ่ม A-ID ถูกแบ่งใช้โดยผู้ใช้ทุกคนบนคอมพิวเตอร์เครื่องนี้ และยินยอมให้ส่วนกำหนดค่า EAP-FAST สนับสนุน PAC หลายชุดจาก A-ID หลายชุด

กลุ่ม A-ID สามารถกำหนดไว้ล่วงหน้าได้โดยผู้ดูแลระบบ และตั้งค่าผ่านทาง แพ็คเกจผู้ดูแลระบบ บนคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้ เมื่อส่วนกำหนดค่าเครือข่าย WiFi พบเซิร์ฟเวอร์ที่มี A-ID ภายในกลุ่มเดียวกันกับ A-ID ที่ระบุไว้ในส่วนกำหนดค่าเครือข่ายไร้สาย ก็จะใช้ PAC นี้โดยไม่มีกล่องแสดงข้อความเตือนผู้ใช้

การเพิ่มกลุ่ม A-ID:

  1. เลือก รวมกลุ่ม A-ID
  2. คลิก เพิ่ม
  3. ป้อนชื่อกลุ่ม A-ID ใหม่
  4. คลิก ตกลง กลุ่ม A-ID จะถูกเพิ่มเข้าในรายการกลุ่ม A-ID

ถ้ากลุ่ม A-ID ถูกล็อค จะไม่สามารถเพิ่ม A-ID อื่นๆ เข้าในกลุ่มได้

การเพิ่ม A-ID เข้าในกลุ่ม A-ID:

  1. เลือกกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งจากรายการกลุ่ม A-ID
  2. คลิก เพิ่ม ในส่วน A-ID
  3. เลือก A-ID
  4. คลิก ตกลง A-ID จะถูกเพิ่มเข้าในรายการ

หลังจากที่กลุ่ม A-ID ถูกเลือก A-ID จะถูกดึงจาก PACs บนเซิร์ฟเวอร์กลุ่ม A-ID รายการ A-ID จะถูกใส่ข้อมูลโดยอัตโนมัติ


งานของผู้ดูแลระบบ

วิธีการขอรับใบรับรองระดับลูกข่าย

หากคุณไม่มีใบรับรองสำหรับ EAP-TLS (TLS) หรือ EAP-TTLS (TTLS) คุณจะต้องขอใบรับรองระดับลูกข่าย เพื่อให้สามารถทำการตรวจสอบความถูกต้องได้

ใบรับรองจะถูกจัดการโดย Internet Explorer หรือ แผงควบคุม ของ Microsoft Windows

Windows XP: เมื่อได้รับใบรับรองระดับลูกข่ายแล้ว อย่าเปิดใช้งานการป้องกันคีย์ส่วนตัวในระดับสูง หากคุณเปิดใช้การป้องกันคีย์ส่วนตัวในระดับสูงสำหรับใบรับรอง คุณจะต้องป้อนรหัสผ่านสำหรับการเข้าถึงใบรับรองในแต่ละครั้งที่มีการใช้งานใบรับรองดังกล่าว คุณจะต้องยกเลิกใช้งานการป้องกันคีย์ส่วนตัวในระดับสูงสำหรับใบรับรอง หากคุณจะกำหนดค่าบริการสำหรับการตรวจสอบความถูกต้อง TLS หรือ TTLS มิฉะนั้น บริการ 802.1X จะทำให้การตรวจสอบความถูกต้องล้มเหลว เพราะไม่มีผู้ใช้ที่เข้าสู่ระบบเพื่อใส่รหัสผ่านที่จำเป็น

หมายเหตุเกี่ยวกับสมาร์ทการ์ด

หลังจากที่ติดตั้งสมาร์ทการ์ด ใบรับรองจะได้รับการติดตั้งบนคอมพิวเตอร์ของคุณโดยอัตโนมัติ และถูกเลือกจากส่วนจัดเก็บใบรับรองส่วนบุคคลและส่วนจัดเก็บใบรับรองระดับราก

การติดตั้งเครื่องลูกข่ายโดยใช้การตรวจสอบความถูกต้องเครือข่าย TLS

ขั้นตอนที่ 1: ขอรับใบรับรอง

เพื่อให้มีการตรวจสอบความถูกต้อง TLS คุณจำเป็นต้องมีใบรับรองระดับลูกข่ายที่ถูกต้องในส่วนจัดเก็บภายในเครื่องสำหรับบัญชีผู้ใช้ที่เข้าสู่ระบบ และคุณยังต้องใช้ใบรับรอง CA ที่เชื่อถือได้ในส่วนจัดเก็บใบรับรองด้วย

ข้อมูลต่อไปนี้มีวิธีการขอรับใบรับรองได้ 2 วิธี:

หากคุณไม่ทราบวิธีการขอรับใบรับรองผู้ใช้จาก CA กรุณาติดต่อผู้ดูแลระบบของคุณเกี่ยวกับขั้นตอน

การติดตั้ง CA บนเครื่องคอมพิวเตอร์ภายใน:

  1. ขอรับ CA และบันทึกลงในไดรฟ์ภายในเครื่อง
  2. คลิก นำเข้า ตัวช่วยสร้างการนำเข้าใบรับรองจะเปิดขึ้น
  3. คลิก ถัดไป
  4. คลิก เรียกดู เพื่อหาตำแหน่งใบรับรองบนไดรฟ์ภายในเครื่อง
  5. คลิกใบรับรองที่ส่งออก
  6. คลิก เปิด
  7. คลิก ถัดไป
  8. คลิก วางใบรับรองทั้งหมดในส่วนจัดเก็บต่อไปนี้
  9. คลิก เรียกดู เพื่อเปิด เลือกส่วนจัดเก็บใบรับรอง
  10. คลิก แสดงส่วนจัดเก็บทางกายภาพ
  11. คลิก ตกลง
  12. จากรายการของส่วนจัดเก็บ เลื่อนขึ้นและขยาย ผู้ให้บริการออกใบรับรองระดับรากที่เชื่อถือได้
  13. คลิก คอมพิวเตอร์ภายใน
  14. คลิก ตกลง
  15. คลิก ถัดไป
  16. คลิก เสร็จสิ้น เพื่อเสร็จสิ้นการเชื่อมต่อ
  17. เริ่มระบบเครื่องใหม่หลังจากติดตั้งใบรับรอง

ใช้ Microsoft Management Console (MMC) เพื่อตรวจสอบว่าได้ติดตั้ง CA ในส่วนจัดเก็บของเครื่องแล้ว

  1. ในเมนู เริ่ม คลิก เรียกใช้
  2. เข้าไปที่ MMC
  3. คลิก ตกลง เพื่อเปิด Microsoft Management Console
  4. คลิก แฟ้ม
  5. คลิก เพิ่ม Snap-in/เอา Snap-in ออก
  6. คลิก เพิ่ม เพื่อเปิดหน้า Add Stand-alone Snap-in
  7. คลิก ใบรับรอง
  8. คลิก เพิ่ม
  9. คลิก บัญชีคอมพิวเตอร์
  10. คลิก ถัดไป
  11. คลิก เสร็จสิ้น
  12. คลิก ปิด
  13. คลิก ตกลง
  14. ในคอนโซล ให้คลิก ใบรับรอง (คอมพิวเตอร์ภายใน)
  15. คลิก ผู้ให้บริการออกใบรับรองระดับรากที่เชื่อถือได้
  16. คลิก ใบรับรอง
  17. ตรวจสอบว่า CA ที่คุณเพิ่งติดตั้งมีแสดงในรายการหรือไม่
  18. คลิก แฟ้ม
  19. คลิก ออก เพื่อปิดคอนโซล

ขอรับใบรับรอง Microsoft Windows 2000* CA:

  1. เริ่มโปรแกรม Internet Explorer และเรียกดูบริการ HTTP ผู้ให้บริการออกใบรับรอง (ใช้ URL เช่น http://yourdomainserver.yourdomain/certsrv โดยที่ certsrv เป็นคำสั่งที่จะนำคุณไปยังผู้ให้บริการออกใบรับรอง คุณสามารถใช้ที่อยู่ IP ของเครื่องเซิร์ฟเวอร์ได้ด้วย ตัวอย่างเช่น 192.0.2.12/certsrv
  2. ล็อกออนเข้าสู่ CA โดยใช้ชื่อและรหัสผ่านสำหรับบัญชีผู้ใช้ที่คุณสร้างไว้บนเซิร์ฟเวอร์การตรวจสอบความถูกต้อง ชื่อและรหัสผ่านไม่จำเป็นต้องตรงกับชื่อและรหัสผ่านของผู้ใช้ปัจจุบันที่ล็อกออนเข้าระบบ Windows
  3. บนหน้า Welcome ของ CA ให้เลือก Request a certificate task and submit the form
  4. เลือกประเภทการร้องขอ: เลือก Advanced request
  5. คลิก ถัดไป
  6. Advanced Certificate Requests: เลือก Submit a certificate request to this CA using a form
  7. คลิก ส่ง
  8. Advanced Certificate Request: เลือก User certificate template
  9. คลิก Mark keys as exportable
  10. คลิก ถัดไป ใช้ค่าเริ่มต้นที่มีให้
  11. Certificate Issued: คลิก Install this certificate

หมายเหตุ: ถ้านี่คือใบรับรองใบแรกที่คุณได้รับ CA จะถามคุณก่อนว่าควรติดตั้งใบรับรอง CA ที่เชื่อถือได้ในส่วนจัดเก็บระดับรากหรือไม่ นี่ไม่ใช่ใบรับรอง CA ที่เชื่อถือได้ ชื่อบนใบรับรองเป็นของแม่ข่ายของ CA คลิก ใช่ คุณต้องใช้ใบรับรองนี้สำหรับทั้ง TLS และ TTLS

  1. หากใบรับรองของคุณได้รับการติดตั้งเสร็จเรียบร้อย คุณจะเห็นข้อความ "Your new certificate has been successfully installed."
  2. เมื่อต้องการตรวจสอบการติดตั้ง ให้คลิก Internet explorer > เครื่องมือ > ตัวเลือกอินเทอร์เน็ต > เนื้อหา > ใบรับรอง ใบรับรองใหม่ควรจะได้รับการติดตั้งไว้ในโฟลเดอร์ส่วนบุคคล

นำเข้าใบรับรองจากแฟ้ม

  1. เปิด คุณสมบัติ ของ Internet (คลิกขวาที่ไอคอน Internet Explorer บนเดสก์ท็อป)
  2. เลือก คุณสมบัติ
  3. Content: คลิก ใบรับรอง รายการของใบรับรองที่ติดตั้งจะแสดงขึ้น
  4. คลิก นำเข้า เพื่อเปิดตัวช่วยสร้างการนำเข้าใบรับรอง
  5. เลือกแฟ้ม
  6. ระบุรหัสผ่านการเข้าถึงสำหรับแฟ้ม ล้างตัวเลือก Enable strong private key protection
  7. ส่วนจัดเก็บใบรับรอง: คลิก Automatically select certificate store based on the type of certificate (ใบรับรองจะต้องอยู่ในพื้นที่จัดเก็บบัญชีผู้ใช้ส่วนบุคคลที่สามารถเข้าถึงได้)
  8. ดำเนินการต่อไปจนถึง Completing the Certificate Import และคลิก เสร็จสิ้น

เมื่อต้องการปรับตั้งส่วนกำหนดค่าที่มีการตรวจสอบความถูกต้อง WPA โดยใช้การเข้ารหัส WEP หรือ TKIP ซึ่งใช้การตรวจสอบความถูกต้องแบบ TLS

หมายเหตุ: เมื่อต้องการขอรับและติดตั้งใบรับรองระดับลูกข่าย ดูที่ขั้นตอน 1 หรือติดต่อผู้ดูแลระบบของคุณ

ระบุใบรับรองที่ใช้โดยยูทิลิตีการเชื่อมต่อ WiFi

  1. ที่หน้าส่วนกำหนดค่า ให้คลิก เพิ่ม เพื่อเปิดการตั้งค่าทั่วไป
  2. ชื่อส่วนกำหนดค่า: ป้อนชื่อส่วนกำหนดค่า
  3. ชื่อเครือข่าย WiFi (SSID): ป้อนตัวระบุเครือข่าย
  4. โหมดการทำงาน: เครือข่าย (โครงสร้างพื้นฐาน) ถูกเลือกไว้ตามค่าเริ่มต้น
  5. คลิก ถัดไป เพื่อเปิด การตั้งค่าความปลอดภัย
  6. คลิก ความปลอดภัยองค์กร
  7. การตรวจสอบความถูกต้องเครือข่าย: เลือก เปิด (แนะนำ)
  8. การเข้ารหัสข้อมูล: เลือก WEP
  9. ใช้งาน 802.1X: ที่เลือก
  10. ประเภทการตรวจสอบความถูกต้อง: เลือก TLS

ขั้นที่ 1 จาก 2: ผู้ใช้ TLS

  1. ขอรับและติดตั้งใบรับรองระดับลูกข่าย
  2. เลือกหนึ่งรายการจากรายการต่อไปนี้เพื่อขอรับใบรับรอง:
ชื่อ คำอธิบาย
รหัสผ่านคงที่ ในการเชื่อมต่อ ให้ป้อนข้อมูลรับรองผู้ใช้
รหัสผ่านป้อนครั้งเดียว (OTP) ขอรับรหัสผ่านจากอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์โทเคน
PIN (ซอฟต์โทเคน) ขอรับรหัสผ่านจากโปรแกรมซอฟต์โทเคน
  1. คลิก ถัดไป

ขั้นตอนที่ 2 จาก 2: เซิร์ฟเวอร์ TLS

  1. เลือกวิธีการใช้ข้อมูลรับรองข้อใดข้อหนึ่งต่อไปนี้: ตรวจสอบใบรับรองเซิร์ฟเวอร์ หรือ ระบุเซิร์ฟเวอร์หรือชื่อใบรับรอง
  2. คลิก ตกลง ส่วนกำหนดค่าจะถูกเพิ่มเข้าในรายการส่วนกำหนดค่า
  3. คลิกส่วนกำหนดค่าใหม่ที่ด้านล่างสุดของรายการส่วนกำหนดค่า ใช้ลูกศรขึ้นและลงเพื่อเปลี่ยนลำดับของส่วนกำหนดค่าใหม่
  4. คลิก เชื่อมต่อ เพื่อเชื่อมต่อกับเครือข่าย WiFi ที่เลือก
  5. คลิก ตกลง เพื่อปิดโปรแกรม

กลับไปที่ด้านบน

กลับไปที่สารบัญ